วันอังคารที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2551
ยามหัศจรรย์...
1. ปวดหัว กินปลามาก ๆ ทั้งปลาทะเล ปลาน้ำจืด น้ำมันจากปลามีสรรพคุณป้องกันการปวดหัว กินพร้อม ๆ กับขิง จะช่วยบรรเทาอาการปวดหัวลง
2. แพ้ละออง เป็นแพ้ทั้งฝุ่นและเกสรดอกไม้ ให้กินโยเกิร์ต หรือนมเปรี้ยว
3. โรคหัวใจ ดื่มชาเขียวเป็นประจำ สารในชาเขียว ช่วยป้องกันไม่ให้ไขมันไปจับตัวตามผนังหลอดเลือด
4. โรคนอนไม่หลับ ดื่มน้ำผึ้งเป็นประจำ สารในน้ำผึ้งมีฤทธิ์เป็นยากล่อมประสาท ทำให้นอนหลับฝันดี
5. โรคหืดหอบ กินหอม ต้นหอม หรือ หัวหอม ก็ได้มีตัวยาทำให้หลอดลมปลอดโปร่ง
6. โรคไขข้ออักเสบ กินปลาเท่านั้น แก้ไขเป็นปกติได้ ได้แก่ ปลาแซลมอน ปลาทูน่า (ปลาโอ) ปลาแมคเคอเรล ปลาซาดีนส์ ( ปลากระป๋อง )น้ำมันปลาทำให้โรคไขข้ออักเสบบรรเทาลง
7. ท้องผูก ท้องอืด ให้กินกล้วย หรือ ขิง กล้วยทำให้ไม่ท้องผูก และขิงทำให้อาการคลื่นไส้ในตอนเช้าหายไป
8. ติดเชื้อในถุงกระเพาะปัสสาวะ ให้กินน้ำคั้นจากลูกแคนเบอรี (ไม้เมืองหนาว) กรดเข้มข้นในลูกไม้ฆ่าแบคทีเรียได้
9. โรคหงุดหงิด ฟุ้งซ่าน โดยเฉพาะเกิดในผู้หญิงสูงอายุด้วย ให้กินข้าวโพด ช่วยบรรเทาอาการเครียด วิตกกังวล และความคิดสับสนได้
10.โรคกระดูกพรุน ทั้งกระดูกเปราะและแตกง่าย แก้ไขได้โดยให้กินสับปะรด ซึ่งมีสารแมงกานีสอยู่มาก ช่วยให้กระดูกแข็งแรงได้
11. ความจำเสื่อม แก้ไขโดยกินหอยนางรม หอยแครงหรือหอยอื่น ๆ ซึ่งในเนื้อหอยมีสารสังกะสีช่วยบำรุงสมองได้ดี
12.เป็นหวัด กินกระเทียม ทำให้จมูกโปร่ง สมองโล่ง กระเทียมช่วยลดไขมันในเลือดได้อีกด้วย
13.ไอ จาม กินพริกแดง สารที่นำมาทำยาแก้ไอนั้น สกัดมาจากพริกแดง
14. มะเร็งเต้านม กินข้าวสาลี รำข้าว และกะหล่ำปลีจะช่วยป้องกันได้ดี
15. มะเร็งปอด กินส้มและผักใบเขียว มีวิตามินเออยู่มากจะช่วยป้องกันการก่อพิษของสารเบต้าแคโรทีน
16. แผลในกระเพาะอาหาร กินกะหล่ำปลี ซึ่งมีสารเคมีช่วยทำให้แผลเรื้อรังในกระเพาะอาหาร และลำไส้เล็กหายขาดได้
17. โรคท้องร่วง กินแอปเปิ้ลสดทั้งเปลือก
18. เส้นเลือดตีบ กินผลอโวคาโด แก้ได้เพราะไขมันดี 'โมโรอันแซตเทอเรต'
19. ความดันโลหิตสูง กินผลโอลีฟ และผักขึ้นฉ่าย
20. น้ำตาลในเลือดไม่สมดุล กินผักบร็อกโรลี่ และถั่วลิสง
อาการของการเกิดมะเร็งในอวัยวะต่าง ๆ ของร่างกาย
1. มะเร็งปากมดลูก อาการมีเลือดออกจากช่องคลอด ทั้ง ๆ ที่ไม่ใช่เวลารอบเดือนปกติของคุณ อาการเจ็บปวดและมีเลือดออกหลังจากมีเพศสัมพันธ์ หากพบว่า มีสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น การตรวจโดยขูดเนื้อเยื่อจากบริเวณดังกล่าวไปตรวจด้วยกล้องจุลทรรศน์จะรู้ได้
2. มะเร็งในมดลูก อาการ มีเลือดออกหลังการมีเพศสัมพันธ์ หรือบางครั้งอาจมีความรู้สึกว่ามีก้อนเนื้อหรือมีอาการบวมในช่องท้อง
3. มะเร็งรังไข่ อาการ ประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอ หรือการมีอาการเจ็บปวดหลังการมีเพศสัมพันธ์ มีปัญหาเกี่ยวกับลำไส้ อาการท้องอืดอาหารไม่ย่อย น้ำหนักลดและมีอาการ ปวดหลัง
4. มะเร็งในเม็ดเลือด (ลูคีเมีย) อาการเหนื่อยง่ายและมีอาการซีดเซียวกว่าปกติมักเกิดอาการฟกช้ำดำเขียว หรือมีเลือดออกทางผิวหนังได้ง่ายโดยไม่ทราบสาเหตุและมักจะเกิดร่วมกับอาหารปวดตามข้อต่าง ๆ ทั่วร่างกายบางครั้งจะท้องอืดและเมื่อคลำดูจะพบว่า มีก้อนบวมที่ด้านซ้ายของช่องท้อง
5. มะเร็งปอด อาการ มักมีอาการไอบ่อย ๆ มีเลือดออกและมีเสมหะปนมากับน้ำลายน้ำหนักลดอย่างฮวบฮาบ เจ็บหน้าอกและหายใจลำบาก หรืออาจมีอาการหอบปนอยู่ด้วยทั้ง ๆที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
6. มะเร็งตับ อาการ ปวดในช่องท้อง เบื่ออาหาร น้ำหนักลดตาและผิวเป็นสีออกเหลืองและเหลืองจัดจนเห็นได้ชัด
7. มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ อาการ มีเลือดปนออกมากับปัสสาวะ
8. มะเร็งสมอง อาการ ปวดศีรษะนาน ๆ และมักมีอาการอื่นร่วมด้วยเช่น อาเจียนหรือการผิดปกติของการมองเห็น ตาพร่า และเห็นแสงเขียว ๆ แดง ๆ ลอยไปมาเวลาปวดศีรษะ อ่อนเพลียไม่มีแรง หรือการเป็นลมโดยกะทันหัน อวัยวะบางส่วนของร่างกายหยุดทำงานเช่น มีอาการชาและเป็นอัมพาตชั่วคราว ควรให้ความระวังเป็นพิเศษหากคุณเคยมีประวัติการปวดหัวที่มีอาการเหล่านี้ประกอบอยู่ด้วย
9. มะเร็งในช่องปาก อาการ มีก้อนบวมอยู่ในปาก หรือทีลิ้นเป็นเวลานาน มีแผลเปื่อยที่ปากที่ไม่ได้รับการรักษา หรือเป็นแผลเรื้อรังที่เหงือกเนื่องจากการกดทับของฟันปลอมที่ใส่ไว้ประจำหรือเป็นเวลานาน
10. มะเร็งในลำคอ อาการ เสียงแหบพร่าไปทันที มีก้อนบวมในทันทีทำให้รู้สึกว่า กลืนอาหารได้ลำบาก หรือมีการขยายตัวของต่อมในลำคอที่โตขึ้นจนสามารถจับและรู้สึกได้
11. มะเร็งในกระเพาะอาหาร อาการน้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็ว อาเจียนออกมาเป็นเลือดท้องอืดหรืออาหารไม่ย่อยบ่อย รู้สึกเหมือนมีก้อนเนื้องอกในช่องท้องหรือรู้สึกตื้อ แม้เพิ่งจะรับประทานอาหารไปได้ไม่กี่คำ
12. มะเร็งทรวงอก อาการมีเลือดหรือของเหลวบางอย่าง ไหลออกมาจากหัวนมบวมหรือผิวเนื้อทรวงอกหนาขึ้น มีก้อนบวมจนจับได้เมื่อคลำบริเวณใต้รักแร้ บางครั้งอาจมีตุ่มหรือสิวเกิดขึ้นที่เต้านมเป็นเวลานานควรระวังเพราะผู้หญิง 9 ใน 10 คนจะมีอาการบวมของก้อนเนื้อบริเวณทรวงอก โดยไม่ทราบสาเหตุเมื่อมีอายุมากขึ้น เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนทำให้เกิดเป็นถุงน้ำใต้ผิวหนังที่เรียกว่าซีสต์ ซึ่งควรต้องค้นหาสาเหตุของอาการบวมนั้นให้ชัดเจนเสียก่อนว่า คืออะไรกันแน่
13. มะเร็งลำไส้ อาการ น้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็ว มีอาการปวดท้องอย่างมากและระบบการย่อยผิดปกติ มีเลือดออกปนมากับอุจจาระ**** ซึ่งมีวิธีสังเกตของผู้ที่มีอาการเกี่ยวกับริดสีดวงทวารอยู่แล้ว คือถ้าใช้กระดาษทิชชูซับแล้วเลือดมีสีแดงสดนั่นคือ อาการของริดสีดวงทวารแต่ถ้าเลือดมีสีดำคล้ำ นั่นคือ อาการของโรคมะเร็งในลำไส้
14. มะเร็งต่อมน้ำเหลือง อาการมีก้อนบวมเกิดขึ้นที่ใต้รักแร้หรือใต้ขาหนีบโดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าไม่ได้ เกิดอาการติดเชื้อในบางส่วนของร่างกาย
15. มะเร็งผิวหนัง อาการมีแผลหรือแผลเปื่อยพุพองที่ไม่ได้รับการรักษาอยู่เป็นเวลานานตลอดจนไฝหรือหูดที่โตขึ้นและมีการเปลี่ยนสีหรือรูปร่าง ขนาด นอกจากนี้ อาการอันตรายอีกอย่างหนึ่งที่ เรียกว่า เมลาโนมา (Melanoma) คือเนื้องอกที่ประกอบด้วยเซลล์ที่มีเมลานินสะสมอยู่ เช่น กระจุดด่าง หรือไฝถ้าคุณมีไฝมากกว่า 50 เม็ด ทั่วร่างกาย หรือมีคนในครอบครัวที่มีประวัติว่าเคยเป็นโรคนี้มาก่อน คุณจะมีอัตราเสี่ยงสูงกว่าคนอื่น ๆ
สำหรับมะเร็งจะหายภายใน 6วัน วิธีรักษา- ไปที่ร้านยาจีน ซื้อหัวเตย 1 ตำลึง หัวขิง 1ตำลึง ก้อนเกลือ 3 ก้อน นำมารวมกันแล้วแช่น้ำทิ้งไว้ 1 วัน ในน้ำ 1 ชาม จากนั้นให้ดื่มจนหมดชาม สรรพคุณในการรักษา - หลังจากดื่มยานี้แล้วควรดื่มน้ำตามมาก ๆ นำส่วนที่เหลือมารับประทาน ยานี้จะขับเอาของเสียออกทางอุจจาระหรือปัสสาวะไม่ต้องตกใจ เป็นการขับของเสียออกหมดแล้วจะปกติ
ที่มา : Mail Forward
...............................................................................................
วันพฤหัสบดีที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2551
วิธีรักษามะเร็งด้วยตนเองหายใน 3 เดือนด้วยหลัก 7 อ.
..........................................................
วิธีรักษามะเร็งด้วยตนเองหายใน 3 เดือนด้วยหลัก 7 อ.
โดย... นายแพทย์อารีย์ วชิรมโน
'ผมจบปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด และที่มหาวิทยาลัยมอสโกด้วยผมสอนนักศึกษาปริญญาเอกที่ฮาร์วาร์ด มาเป็นเวลา ๓๐ ปี ' ทำไมคุณหมอจึงตัดสินใจเดินทางกลับเมืองไทย 'ผมตั้งใจจะกลับมาตั้งนานแล้วพอดีเป็นมะเร็งต่อมลูกหมากระยะสุดท้าย ทีแรกนึกว่าเป็นนิ่ว ปัสสาวะมันขัด พอไปเอกซเรย์ดูต่อมลูกหมากโตเบ้อเริ่ม เมื่อรู้ว่าเป็นมะเร็งผมก็ตัดสินใจกลับมาตายที่เมืองไทย อยากกลับมาหาแม่และอยากกลับมาอยู่ป่า เพราะอยู่ป่าคอนกรีตมา ๓๐ กว่าปีแล้ว ตอนเป็นมะเร็งหนัก ๆ จะตายแล้ว ลูกสามคนไปให้กำลังใจ ตอนนั้นผมคิดว่า คงอยู่ไม่ถึงอาทิตย์ พอลูกเตือนสติว่าไหนป๋าบอกว่าจะมีอายุอยู่ถึง ๑๒๑ ปีให้ได้ ป๋าผิดคำพูด สู้ไม่จริง... นั่นแหละจึงได้คิดว่าจะลองสู้ดูสักตั้งไหม มะเร็งไม่เคยให้โอกาสคนครั้งที่ ๒ ผมไปซื้อรองเท้ามาฝึกเดิน แล้วคิดว่าจะแก้เรื่องเครียดยังไง เพราะความเครียดเป็นสาเหตุสำคัญของมะเร็ง ทีเดียว คิดไม่ออก นอนปลงอยู่บนเก้าอี้ผ้าใบ คิดว่าถ้ากูตายลูกจะรู้หรือเปล่า บอกกับตัวเอง เพราะผมอยู่ในป่า ใครจะไปคนเดียว จนกระทั่งคิดหาวิธีแก้เครียดได้ คือ การคิดแบบตรงกันข้าม เช่น มีคนมาลักวัวเรา ก็ไม่ต้องเครียด ถือเสียว่าได้ชดใช้กรรมกันในชาตินี้เพราะชาติที่แล้วกูไปลักของเขามา หรือมีคนด่าเรา ถือว่าเราได้บุญ เพราะช่วยให้คนที่ด่าเราหายเครียด ได้ระบายอารมณ์ พอคิดได้อย่างนี้ ตอนหลังคิดอะไรเป็นตรงกันข้ามหมด คิดว่าเราต้องมีชีวิตอยู่เพื่อลูกนะ และแม่เรายังอยู่ เราจะตายก่อนแม่ได้อย่างไร และแม่เราเป็นชาวบ้านธรรมดา ไม่รู้จักรักษาสุขภาพตัวเอง แต่เราเป็นหมอจะมาตายกับโรคโง่ ๆ อย่างนี้ไม่ได้ เราอายแม่ อายหมาด้วย หมายังไม่เป็นมะเร็งเลย เมื่อมันเป็นแล้ว ถ้าเรายังแก้ไม่ได้ เราไม่ใช่คน แต่เราก็รู้ว่าการที่จะสู้ ต้องสู้ด้วยจิต ฝึกจิตให้ได้ เริ่มคิดไปในทางบวกอะไรก็ดีหมดทุกอย่าง มะเร็งนี่ถือว่าทำให้ชีวิตเปลี่ยนไปเลย'
แต่ก่อนผมเป็นคนดุมาก อารมณ์เกรี้ยวกราด บวกกับการกินอาหาร ซึ่งผมกินเนื้อแบบฝรั่งตลอด ทำให้ผมเป็นมะเร็ง แต่พอป่วย เรารู้ว่าจะหายจากมะเร็งได้ ต้องเปลี่ยนนิสัยการกิน ต้องเปลี่ยนอย่างเด็ดขาดเท่านั้น ดีวันดีคืน ค่ามะเร็งลดลงอยู่แค่ ๗ จาก ๕๗๑ ซึ่งเป็นค่ามะเร็งระดับสูง ผมรักษาตัวอยู่ ๓ เดือนกว่า หายเลย โรคอื่นก็พลอยหายไปด้วย เบาหวานก็ไม่เป็น โรคเกาต์ที่ต้องกินยามา ๒๐ กว่าปี ตอนนี้หายหมด คิดถึงมันมากเลย คือ เราไม่กินเนื้อ ไขมัน กินแต่ผัก ผลไม้ เกลือแร่ และวิตามิน
คนที่เป็นมะเร็งควรจะกินอาหารประเภทใด
อาหารธรรมชาติอย่างพืชผักผลไม้ มะเร็งไม่ชอบ มีวิตามินสูงคนเป็นมะเร็งต้องกินอาหารพวกนี้ คนที่เป็นมะเร็งส่วนใหญ่จะกินอาหารแบบนี้ได้น้อย จึงขาดพวกเกลือแร่ เอนไซม์ วิตามิน ฉะนั้นหมอจึงแนะนำให้กินพวกเกลือแร่ วิตามิน เอนไซม์เข้าไปช่วย สรุปแล้วคนเป็นมะเร็งต้องพยายามกินผักผลไม้ เพราะต้องการให้ก้อนมะเร็งอดอาหาร และดูแลไม่ให้ขาดเกลือแร่ วิตามินเสริมเพราะมันจำเป็น ส่วนจะเป็นวิตามินประเภทใดก็ต้องให้ หมอตรวจเลือด เพื่อจะรู้ว่าร่างกายเราขาดอะไรก่อน การหยุดขยายก้อนมะเร็ง นอกจากการเลือกกินอาหารแล้ว มีอะไรอีกครับ ด้วยการกินวิตามินซี ตามหลักของแพทย์องค์รวม เขาบอกว่าวิตามินซีต้องได้ อย่างน้อย ๒๐ กรัมต่อวัน ในร่างกายเรามีเซลอยู่ประมาณ ๗๕,๐๐๐ ล้านเซล เซลดีจะมีเยื่อหุ้มเซลที่เรียกว่าเหมือนเป็นเสื้อเกราะ ไม่ให้มะเร็งเข้ามาทำลายได้ แต่ถ้าเซลไหนเป็นมะเร็งแล้ว เยื่อหุ้มเซลจะไม่มี แถมเซลมะเร็งจะสร้างเอนไซม์ชนิดหนึ่งเรียกว่า... ซึ่งเป็นตัวร้าย เอมไซม์ตัวนี้จะไปทำลายเสื้อเกราะของเซลอื่น ทำให้กลายเป็นมะเร็งต่อไปเรื่อย ๆ แต่พอวิตามินซีเข้าไปในกระแสเลือด มันจะไปทำลายเอนไซม์ตัวนี้ มะเร็งก็ไม่ขยายตัว นอกจากนี้วิตามินซี เป็นแอนตี้ออกซิแดนท์ หรือสารต้านอนุมูลอิสระ มันช่วยลดความเครียดลงได้ ยกตัวอย่างเช่นคนไข้เจ็บปวด เวลาฉีดวิตามินซี ทำไมคนไข้สงบเร็ว เพราะมันไปลดอีเอสอาร์ หรือลดตะกอนเม็ดเลือดแดง ตะกอนเม็ดเลือดแดงมากเท่าไหร่ หมายความว่า เกิดการอักเสบหรือเกิดการเสื่อมของร่างกายมากขึ้นเท่านั้น คนปรกติให้กินวิตามินซี ๔-๕ พันมิลลิกรัม/ต่อวัน แต่ถ้าคนที่อยู่ในเมืองมีมลภาวะอย่างน้อยต้อง ๖ พันมิลลิกรัมขึ้นไป ประเทศที่กินวิตามินซีสูงมาก ประเทศนั้นสุขภาพเขาจะดีมาก แล้วหน้าตาเขาจะดีประเทศที่กินมากที่สุด คือ สวีเดน รองลงไปคือรัสเซีย พวกนี้สุขภาพจะดีมาก ทั้งที่กินเนื้อสัตว์มาก
เรากินวิตามินซีจากส้มเพียงพอหรือไม่ ท่านทราบหรือไม่ว่าส้มลูกหนึ่งมีวิตามินซีอยู่ ๑๐๐ มิลลิกรัม หมายความว่าต้องกินจากต้น แต่ถ้าส้มหนึ่งลูกเก็บไว้เจ็ดวันจะเหลือ ๑ มิลลิกรัม เท่านั้น วิตามินซีหายหมดเลย ดังนั้น ถ้าคุณจะกินส้มให้ได้ ๔ พันมิลลิกรัม ต้องกินส้มสี่พันลูก กินวิตามินซีมาก ๆ ทางการแพทย์บอกว่า อาจจะมีปัญหากับระบบปัสสาวะ
วิตามินซีอยู่ในเลือดเราได้ ๒ ชั่วโมง แล้วจะถูกขับออกมา แต่ก่อนเขาบอก วิตามินซีพอกินเข้าไปปั๊บ ร่างกายเราจะเปลี่ยนเป็นออกซาลิกเอซิด แล้วพอตกไปกระเพาะปัสสาวะ มันจะเป็นนิ่ว แต่เปอร์เซ็นต์มันน้อยเหลือเกิน ทฤษฎีมันว่าอย่างนั้นจริง แต่อัตราการเกิดมีน้อยมาก เพราะปรกติมันจะออกมากับปัสสาวะ ถ้าเราดื่มน้ำ มันจะออกหมดภายในสองชั่วโมงไม่ได้สะสม บางคนพอกินวิตามินซีเข้าไป ดื่มน้ำน้อย วิตามินซีมีสามรูปแอสคอมิกเอซิด แคลเซียมแอสคอเบด และโซเดียมแอสคอเบด อย่างพวกวิตามินซีชีวภาพ เขาจะเอาทั้งสามอย่างมารวมกัน แอสคอมิกเอซิดเป็นกรดแคลเซียมแอสคอเบด กับโซเดียมแอสคอเบดเป็นด่าง เพื่อที่จะลดกรดลง ถ้าเรากินวิตามินซีพวกนี้เข้าไป จะไม่ค่อยมีปัญหา แต่วิตามินซีที่เรากินทั่วไปจะเป็นแอสคอมิกเอซิดซึ่งเป็นกรด กินเข้าไปแล้วขับถ่ายออกมาเร็ว ถ้าเรากินน้ำน้อยตะกอนพวกนี้ไปตกที่กระเพาะปัสสาวะ จะแสบ ฉะนั้นจึงบอกให้ดื่มน้ำมาก ๆ
เหตุใดคุณหมอให้ความสำคัญกับการกินวิตามินมากครับ
คนเราทุกวันนี้ไม่เหมือนสมัยก่อน สิ่งแวดล้อมทำให้เรารับอนุมูลอิสระ หรือสิ่งมีพิษเข้าไปในร่างกาย เราจะต้องกินพวกแอนตี้ออกซิแดนท์เข้าไปมากที่สุดเพื่อต่อสู้กับมลภาวะพวกนี้ ฉะนั้นเรากินแค่นั้นไม่เพียงพอ ตามปรกติจะให้ร่างกายแข็งแรง ต้องได้วิตามินซีไม่ต่ำกว่า ๔-๕ กรัมต่อวัน เป็นขนาดที่เพียงพอสำหรับให้ท่านมีชีวิตอยู่เท่านั้น ไม่ได้เพียงพอที่จะสร้างภูมิต้านกินหรือต่อสู้เชื้อโรค คนในเมืองจึงเป็นหวัดกันไม่หยุดเลย ก็ลองกิน ๖-๑๒ กรัม ดูซิว่าตอนที่เราอยู่ในเมือง เราเป็นหวัดหรือไม่ ไม่เป็นหรอก แต่ที่ผ่านมาเราไปยึดตำราของกระทรวงสาธารณสุขของอเมริกาของแพทย์ตะวันตกที่ให้กินวิตามินซีได้นิดเดียว ซึ่งเดี๋ยวนี้เขาเปลี่ยนไปหมดแล้ว จึงมีการสอนกันว่า เรื่องการให้เกลือแร่วิตามินต้องขึ้นอยู่ในสิ่งแวดล้อมอย่างนั้น
หลักการป้องกันมะเร็งของคุณหมออีกประการ คือ การสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย ก็คือการเพิ่มปริมาณเม็ดเลือดขาวใช่ไหม... พอเราเกิดมาปุ๊บจะมีทหารมาคุ้มครองเรา คือเม็ดเลือดขาวปรกติในหนึ่งตารางมิลลิเมตรจะต้องมีเซลเม็ดเลือดขาว ระหว่างห้าพันถึงหนึ่งหมื่น ถ้าเลือดเราอยู่ในเกณฑ์นี้ หมายถึงว่า ร่างกายเราแข็งแรง ร่างกายเราพอเกิดมาก็มีสิ่งไม่ดีอยู่ในตัวเราแล้ว คือโรคที่เกิดจากเชื้อโรคทำให้เราไม่สบาย แต่ก็ยังมีความป่วยไข้อีกอย่าง เป็นโรคที่ไม่ใช่เชื้อโรค แต่เป็นโรคแห่งความเสื่อมของร่างกาย เช่น มะเร็ง เบาหวาน ความดัน ฯลฯ ในร่างกายคนเราทุกคนมีเซลมะเร็งเหมือนบ้านเมืองนี้มีโจร แต่ยังไม่ได้ปล้น คนที่ยังไม่ได้เป็นมะเร็ง คือมันยังยึดไม่ได้ เพราะเจ้าหน้าที่ตำรวจทหารหรือภูมิคุ้มกันแข็งแกร่งอยู่ เมื่อไหร่เจ้าหน้าที่ยังแข็งแกร่ง พวกนี้ก็อาศัยอยู่เฉย ๆ แต่เมื่อไหร่เจ้าหน้าที่อ่อนแอ พวกนี้ก็จะเล่นงาน ก่อนนอนก็ไม่ได้นอนไปเที่ยวกลางคืน กำลังกายก็ไม่ออก ทหารตำรวจก็อ่อนแอ มะเร็งก็เล่นงานเลย
มีวิธีสร้างภูมิต้านอย่างไร ทำได้หลายวิธี อาทิ ออกกำลังกายหรือเดินให้ได้รับแสงแดด แสงที่สะท้อนบนลูกตาจะไป กระตุ้นต่อม ไพเนียล ใต้สมองให้หลั่งสารเอ็นโดฟินออกมา ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่เป็นความสุข และระงับความเจ็บปวดได้ดีกว่ามอร์ฟีน๒๕๐ เท่า เมื่อหลั่งออกมา เรามีความสุข มองโลกในแง่บวกทันที พอไม่เจ็บ มันก็สดชื่นขึ้นมาทันที ฮอร์โมนหลั่งทันที มันไปกระตุ้นต่อมไทรอยและต่อมต่าง ๆ ในร่างกายของเราให้ผลิตเม็ดเลือดขาวออกมาทันทีเลย นั่นหมายถึงว่า เริ่มสร้างภูมิต้านกันแล้ว และการยิ้มหัวเราะ คลายเครียดแต่ละครั้ง ก็หลั่งเอ็นโดฟีนออกมาด้วย นอกจากนี้แสงอุลตราไวโอเลต ยังเปลี่ยนคลอเลสเตอรอลให้เป็นวิตามินดี วิตามินดีจะไปช่วยให้ แคลเซี่ยมที่อยู่นอกกระดูกกลับเข้าไปในกระดูก ลดคลอเลสเตอรอล ทำให้กระดูกแข็งแกร่ง ช่วยในการดูดซึมของฟอสฟอรัส แคลเซี่ยม แมกนีเซียม ในทางเดินอาหารให้ได้ดี วิตามินดีที่เรากินเข้าไปสู้วิตามินดีที่เราได้จากธรรมชาติจากแสงอุลตราไวโอเลตไม่ได้ ไส้ติ่งก็เป็นประโยชน์แก่ภูมิคุ้มกันแก่ร่างกาย แต่แพทย์ปัจจุบันแนะนำให้ตัดออก
สมัยสงครามเวียดนาม ทหารอเมริกันที่มารบในสงครามทุกคนต้องผ่าตัดไส้ติ่งหมด เพราะกลัวว่าจะเกิดไส้ติ่งอักเสบในสงครามตัดหมดทุกคนเลย ไส้ติ่งมีประโยชน์เกี่ยวกับภูมิต้านหลายอย่างมาก ตอนหลังนักวิทยาศาสตร์ เขารู้ว่าไส้ติ่งมีประโยชน์ ทหารอเมริกันที่กลับจากสงคราม เขาเอาเรื่องรัฐบาลว่ามาตัดไส้ติ่งเขาหมด รัฐบาลปิดปากเงียบเลย ฉะนั้นพวกที่กลับจากสงครามเวียดนาม รัฐบาลอเมริกันให้ทุกอย่างเลย เพื่อปิดปากเรื่องหน้าแตกนี้ การเดินเท้าเปล่าช่วยสุขภาพอย่างไร
ผมสังเกตมนุษย์ที่อยู่บนเขาอายุยืนเยอะมากเลย ส่วนมากเขาจะเดินเท้าเปล่า คนที่เดินเท้าเปล่าบนพื้นดินธรรมชาติ เราได้อะไรได้พลังจักรวาลจากพื้นโลก ซึ่งมันมีสนามแม่เหล็ก ในร่างกายของเรา ประกอบไปด้วย เซลประมาณเจ็ดหมื่นห้าพันล้านเซล แต่ละเซลเหมือนแบตเตอรี่แต่ละลูก ทีนี้ในแต่ละลูกมันต้องมีขั้วบวกขั้วลบ เมื่อร่างกายเสื่อมโทรม ประจุลบ ประจุบวก มันไม่สมดุลกัน เหมือนแบตเตอรี่หมดไฟ ไฟมันหรี่ลง แต่ถ้าเราไปเดินเท้าเปล่าบนพื้นโลกพลังงานจากแม่เหล็ก โลกมันจะไปเรียงอิเล็กตรอนกับโปรตอนในเซลของเราใหม่ เหมือนเราไปชาร์จแบตเตอรี่ใหม่ ฉะนั้นเราสังเกตง่าย ๆ ว่าคนที่ใส่แต่รองเท้าแล้วอยู่แต่ในตึกพวกนี้ พลังงานจักรวาลจะไม่ได้เลย
พลังงานจักรวาลในโลกเราได้มาอย่างไร
๙๘ เปอร์เซ็นต์ ได้มาจากดวงอาทิตย์ แม้แต่อาหารก็มาจากดวงอาทิตย์ ดวงอาทิตย์เปลี่ยนพลังงานไว้ที่พืชพรรณธัญญาหาร เราก็กินพวกนี้เข้าไป การรักษาคนไข้ของหมอแผนปัจจุบันอาจจะไม่ได้ให้ความสำคัญกับการสร้างภูมิคุ้มกัน หรือไม่ที่มันเกิดโรค หรือโจรเกิดในบ้านเมืองเพราะอะไร เพราะความอ่อนแอของเจ้าหน้าที่ เซลมะเร็งก็มีมาตั้งแต่เราเกิด แต่ถ้าเราภูมิต้านกินดีมันก็อยู่เฉย ๆ ทำอะไรเราไม่ได้ แต่เมื่อเป็นมะเร็ง เราไม่เคยคิดว่า จะสร้างภูมิต้านกันอย่างไร คิดแต่จะฆ่าศัตรู แต่อย่าลืมว่าฆ่าพวกนี้ไม่ได้หมด เพราะมันกลายพันธุ์ไปเรื่อย เดี๋ยวนี้เพนนิซิลินคนลืมไปแล้ว เพราะมันใช้ไม่ได้ผล คิดค้นมาเท่าไหร่ พวกนี้ก็แข็งแกร่งขึ้นเรื่อย ๆ อย่างมะเร็งทุกวันนี้ก็กลายพันธุ์ไปเรื่อย ครั้งแรกใช้คีโมตัวนี้ พอใช้ไปดื้อซะแล้ว ตัวใหม่แรงกว่าเก่าแล้วก็ดื้ออีก ในขณะที่ร่างกายเรามีแต่อ่อนแอลง เพราะคีโม ไม่ได้ไปหยุดการเจริญเติบโตของเซลมะเร็งเท่านั้น แต่เซล เม็ดเลือดขาวพลอยตายไปด้วย สมมุติเป็นมะเร็งลำไส้ไปผ่าตัดปั๊บ บางทีเป็นเต้านมตัดอีก อยู่ไม่เท่าไหร่ เป็นอีกเพราะอะไร เพราะเซลมะเร็งยังอยู่ ท่านไม่สามารถพิชิตโรคที่เกิดได้ แต่สามารถทำให้ร่างกายแข็งแรง เหมือนเราไม่สามารถปราบโจรในโลกให้หมดได้ แต่สามารถป้องกันไม่ให้โจรมาปล้นได้ ถ้าเจ้าหน้าที่ของเราเข้มแข็ง หมายความว่า การรักษามะเร็งด้วยการผ่าตัด ฉายแสง หรือคีโม ไม่ใช่แนวทางที่ถูกต้อง ผมเชื่อว่าการรักษาทุกอย่างใช้ได้หรือไม่ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของคนไข้แต่ละกรณีไป เหมือนการผ่าตัดมะเร็ง บางครั้งก็จำเป็น บางทีมะเร็งไปอุดตันหรือไปเบียดบังอวัยวะอื่น ทำให้อวัยวะอื่นทำงานไม่ได้เต็มที่ ก็จำเป็นต้องตัด แต่ตัดแล้วไม่ใช่หายหรือฉายแสง ให้คีโมแล้วก็ยังไม่หาย ตราบใดที่เม็ดเลือดขาวเรายังอ่อนแอ
นอกจากหลักการควบคุมอาหาร และการสร้างภูมิต้านกินแล้ว คุณหมอให้ความสำคัญกับการทำดีท็อกซ์ ดีท็อกซ์ ย่อมาจาก Detoxification หมายถึง การกำจัดพิษออกจากร่างกาย ซึ่งมีหลายวิธี เช่น การออกกำลังกาย การอบความร้อน ฯลฯ แต่ในที่นี้เราหมายถึง การสวนทวาร เพราะอาหารที่เรากินเข้าไปจะระบายเป็นของเสียคือ อุจจาระ ปัสสาวะ เหงื่อและลมหายใจ ตรงไหนสกปรกมากที่สุด ก็คืออุจจาระ ขณะที่เหงื่อที่ระบายออกมาทางผิวหนัง เราก็ทำความสะอาด โดยการอาบน้ำวันละสองครั้ง ทั้งที่สกปรกน้อยกว่าอุจจาระ การที่เราถ่ายทุกวัน เราไม่ได้ถ่ายหมด บางคนไขมันติดเป็นคราบเป็นก้อนอยู่กับลำไส้ เป็นเวลาหลายสิบปี อาหารที่มีเส้นใยก็ไม่กิน ข้าวกล้องก็ไม่กิน ของเสียติดกันเป็นพืด เป็นพิษกลับเข้าไปร่างกาย แต่การทำดีทอกซ์มันช่วยทำให้ลำไส้สะอาด เมื่อลำไส้เราสะอาด แล็กโตบาซิลลัสซึ่งเป็นแบคทีเรียชนิดดีจะเจริญเติบโตได้รวดเร็ว การดูดซึมสามารถทำได้เต็มที่ แต่ถ้าอุจจาระมีกลิ่นเหม็น จะเกิดสารพิษขึ้นตั้ง ๙ อย่าง สารพวกนี้นอกจากก่อมะเร็งลำไส้แล้ว ยังสามารถดูดซึมเข้าไปในกระแสเลือด ทำให้ตับทำงานหนัก การทำดีทอกซ์เป็นการช่วยตับด้วยให้รับภาระนี้น้อยลง กาแฟยังไปช่วยตับให้ผลิตน้ำดีเพิ่มขึ้น เพื่อไปลดโคเลสเตอรอล และเอาของเสียที่ตับกำจัดออกมา น้ำดีเหมือนรถบรรทุกเอาของเสียมาทิ้งกับน้ำดี น้ำดีก็จะพาออกมากับอาหารของเรา นอกจากมันช่วยย่อยอาหารแล้วยังช่วยเอาของเสีย ออกมาจากตับด้วย
ถ้าคนเราถ่ายวันละสองครั้ง ยังต้องทำดีทอกซ์หรือไม่ ควรทำเพราะถึงคุณถ่ายยังไงก็ไม่หมด ไม่สะอาด
สังเกตดูว่าถ่ายสองครั้งมีกลิ่นหรือไม่ ถ้ามีหมายความว่าเกิดของเสีย ๙ อย่างแล้ว การที่เราทำดีทอกซ์ทุกวันแบคทีเรียที่ดีจะไม่ออกจากร่างกายหรือมันออกไปบ้าง แต่มันเจริญเติบโตเร็ว ขยายตัวเร็ว เพราะลำไส้เป็นกรดคือ ลำไส้สะอาด แต่ถ้าเป็นด่างคือมีกลิ่นเหม็นสกปรก แบคทีเรียพวกแลคโตบาซิลลัส มันจะชอบลำไส้ที่เป็นกรด สะอาด แต่แบคทีเรียชนิดเลว ชอบลำไส้สกปรกและเป็นด่าง
คุณหมอทำดีทอกซ์ตั้งแต่กลับมารักษาตัวที่กรุงเทพฯ หรือไม่ ทำตั้งแต่เป็นมะเร็งอยู่เมืองนอก แต่ทำครั้งเดียว และมาตรวจดูว่า พิษในไตและตับลดลงไม่มาก ต่อมาก็พบว่าอาหารที่มีกากจะอยู่ในลำไส้เรา ๑๒-๑๔ ชั่วโมง ถ้าเราทำดีทอกซ์วันละครั้ง มันลดลงไม่หมด เพราะ ๒๔ ชั่วโมง อุจจาระเรามีกลิ่น แล้วเราจะทำยังไงไม่ให้อุจจาระเรามีกลิ่น ก็ลองทำสองครั้ง เช้า-เย็นกากอาหารจะอยู่ในลำไส้ไม่เกิน ๑๒ ชั่วโมง ปรากฏอุจจาระไม่มีกลิ่นเท่านั้นแหละ ไม่กี่เดือน พิษต่าง ๆ ของตับและไตลดลงเป็นปรกติเลย… เป็นการล้างพิษที่ดีที่สุดและถูกหลักวิทยาศาสตร์ เพราะเขาบอกว่า ยิ่งลำไส้ใหญ่สะอาดเท่าไหร่ มีสภาพเป็นกรดมากเท่าไหร่ แบคทีเรียชนิดดียิ่งเจริญมากเท่านั้น และเป็นผลดีต่อตับ ไต มากเท่านั้น แบคทีเรียชนิดดีถ้ามีจำนวนมากขึ้น จะช่วยร่างกายย่อยอาหาร กินแบคทีเรียที่ไม่ดีสังเคราะห์พวกไฟเบอร์ต่าง ๆ ให้เปลี่ยนเป็นวิตามินบี วิตามินเคได้
ทำไมการทำดีท็อกซ์จึงต้องใช้น้ำกาแฟด้วย มีคนถามผมหลายคนว่า ดื่มกาแฟไม่ช่วยในการล้างพิษหรืออยากเรียนว่ามันต่างกัน เวลาดื่มกาแฟมันจะดูดซึมที่กระเพาะและลำไส้เล็ก เข้าไปในกระแสเลือด ไปกระตุ้นหัวใจ ระบบประสาท แต่การทำดีท๊อกซ์น้ำกาแฟจากลำไส้ใหญ่จะมาที่ตับ ไปคนละทางกัน สารคาเฟอีนในกาแฟจะดูดซึมเข้าไปตามเส้นเลือดดำในลำไส้ใหญ่ ไปที่ตับ เพื่อกระตุ้นตับให้กระปรี้กระเปร่าขึ้น ผลิตน้ำดีมากขึ้น ท่อน้ำดีขยายขึ้น เอาพิษทั้งหลายที่คั่งค้างให้ออกมากับน้ำดีเวลาเราถ่ายออกมา… ตับเราทำงานหนักมากที่สุด เพราะสารพิษทั้งหลายที่ผ่านเลือดต้องไปกรองที่ตับ ตับกรองได้ ๙๙ เปอร์เซ็นต์ แต่ถ้าตับเราไม่ดี มันกรองไม่ได้ แล้วถ้าเลือดเป็นพิษมาก ๆ เราก็ตาย ฉะนั้นถ้าเรากินของพิษเข้าไปมาก ๆ แถม เราท้องผูก ถ่ายไม่หมด พิษที่มาจากเลือดตามปรกติก็มีอยู่แล้วพิษจากการกินอาหารเข้าไป และพิษมากที่สุดอันหนึ่งคือ อุจจาระ พอเราถ่ายไม่หมด พิษมันย้อนกลับไปที่ตับ ยิ่งท้องผูกเท่าไหร่ พิษก็ยิ่งไปอยู่ที่ตับกับไต พอตับและไตทำงานกรองสารพิษหนัก ๆ จนไม่ไหว ระบบในร่างกายก็พาลเสียไปหมด มะเร็งก็ถามหา แต่เมื่อเราใช้คาเฟอีนเข้าไปกระตุ้นให้ตับทำงานกระปรี้กระเปร่าขึ้นมา ไขมันที่มีมากในเลือดกาแฟก็ไปกระตุ้นตับให้เปลี่ยนโคเลสเตอรอลให้เป็นน้ำดี เพื่อที่จะช่วยในการดูดซึม วิตามินเอ อี ดี เค ช่วยย่อยไขมันและช่วยพาของเสียที่ตับกรองไว้แล้ว เอามาทิ้ง พวกกินเหล้า บ่อยที่ใกล้จะเป็นตับแข็ง ยิ่งต้องล้างเยอะพิษใช่ไหมครับ พวกนี้ถ้าล้างพิษประจำก็ดี แต่พวกนี้มักจะขาดวิตามินบี ตับเราเวลาทำงานปรกติ มันก็กักเก็บวิตามินบีไว้ใช้ในเวลาจำเป็นอยู่แล้ว ตับเรามีหน้าที่หลักมากกว่า ๒๖๐ อย่าง มันเหมือนเป็นโกดังเก็บไว้ใช้ เมื่อร่างกายเราขาด อันไหนที่มีมากเกินไป เป็นอันตราย มันก็เปลี่ยนเป็นของดีซะ อันไหนที่เป็นของเสีย ผลิตมากเกินไป มันก็เอาไปทำลาย เอาของเสียขับออกมา ตับเป็นกองบัญชาการที่จะต่อสู้กับโรคภัยไข้เจ็บ ถ้าเรารักษาตับให้ดี อย่างอื่นดีหมด แม้กระทั่งอารมณ์ คนจีนเขาบอกว่า ที่เขาแมะ เขาดูหน้า ดูผิว มันเป็นสิ่งที่บอกว่าคนนี้ตับดีหรือไม่ดี มันจะแสดงออกมาที่ผิว พฤติกรรมการกินของคนปัจจุบันเป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดโรคภัยมากขึ้น
กินมากตายไว 'ถูกต้องครับ พวกที่อายุยืนร้อยกว่าปี กินอาหาร ทุกวันนี้เรามีความสุขในการกิน เราจึงเจ็บไข้ได้ป่วย สังเกตว่าคนที่กินมาก เกิดโรคมากเหมือนที่เขาบอกว่า' กินน้อยตายยาก เดี๋ยวนี้เขามีงานวิจัยกันแล้ว คนที่อายุยืน กินมื้อเดียวจริง ๆ มื้อหลัก ตั้งแต่ ๑๐.๐๐ น. ไปถึงเที่ยง และเราต้องนอนตั้งแต่สามทุ่ม ไปตื่นตีห้า แล้วจะสุขภาพดี เวลาเข้านอน ๑ ชั่วโมงครึ่งแรก ช่วงนี้ต้องนอนหลับสนิทไม่ฝันเลย โกรทฮอร์โมนจึงจะหลั่ง หลังจากนั้นท่านจะตื่นบ้างหลับบ้างไม่เป็นไร โกรทฮอร์โมนทำหน้าที่ซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของอวัยวะร่างกายเราเพราะตอนกลางวันเราทำงาน ร่างกายเราสึกหรอ กลางคืน มันซ่อมแซม พอเราซ่อมบ้านแล้ว เหลือวัสดุของเสีย เราก็ขนของไปทิ้งร่างกายเราก็เหมือนกัน พอมันซ่อมเสร็จ ช่วง ๐๕.๐๐ - ๑๐.๐๐ น. เป็นช่วงเอาพิษออกจากร่างกาย สังเกตว่าพอตื่นปั๊บ จะปวดท้องฉี่ อุจจาระมันจะออก นั่นเป็นธรรมชาติ ช่วงนี้เขาห้ามกินอาหารหนัก กินได้แต่พืชผักผลไม้ กินแต่น้ำเปล่า ๆ เพราะน้ำเปล่า เป็นการเร่งล้างเอาพิษออกจากร่างกาย หรือท่านจะไปทำงานหนักให้เหงื่อแตกก็ได้ เป็นการเอาพิษออกจากร่างกายเหมือนกัน ฉะนั้นทางที่ดีที่สุด ยิ่งคนเจ็บไข้ได้ป่วย เขาให้เดินออกกำลังกายดีที่สุด แล้วก็ดื่มน้ำเอนไซม์ คือ น้ำผักผลไม้ที่เราคั้น ถ้าคั้นไม่ได้ เราก็กินสด ๆ พอดื่มน้ำปั๊บช่วงนี้ เป็นช่วงที่ทำงานเต็มที่เลย พอเสร็จแล้ว จากช่วง ๑๐.๐๐ - ๑๒.๐๐ น. กินอาหารหลักในช่วงนี้ กินหนักเลย เสร็จแล้วให้งีบ ๓๐ นาที ถึงหนึ่งชั่วโมง มันเป็นธรรมชาติจริง ๆ พอกินอาหารอิ่มมันง่วงนอน เพราะมันจะมีฮอร์โมนชื่อ โพลีซีสโตเคนิน ขับออกมาตรงเจจูนัม ไปกระตุ้นให้ถุงน้ำดีบีบตัว เพื่อให้น้ำดีออกมา แล้วมีฮอร์โมนอีกตัวหนึ่งออกมาจากสมอง ส่วนไฮโปไทมัส พอเรากินข้าวอิ่มปั๊บ ฮอร์โมนตัวนี้แหละทำให้เราง่วง ช่วงนี้แหละให้เรางีบเพียงหนึ่งชั่วโมง พอตื่นขึ้นมา โอ้โห!!! มันสดชื่น เป็นการพักผ่อนที่ดีที่สุด คนที่กินอาหารหนักแล้วพยายามฝืน โดยเฉพาะคนที่ทำงานเสี่ยงกับพวกที่ขับรถเกิดอุบัติเหตุเสี่ยงที่สุด ตอนบ่ายจะเกิดอุบัติเหตุบ่อยมากเลย
ไม่ควรกินอาหารหนักก่อนนอนเพราะอะไรครับ…
ก่อนนอน... อย่ากินอาหารหนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งของหวาน เพราะโกรทฮอร์โมนจะไม่หลั่ง สังเกตได้... คนไหนกินของหวานก่อนนอน ร่างกายจะเสื่อมเร็วมาก เพราะโกรทฮอร์โมนไม่หลั่ง ร่างกายไม่ได้ซ่อมแซมอะไรเลย ภูมิต้านทานก็ต่ำ ถ้าอยากสุขภาพดี ก่อนนอนท่านต้อง กินพืชผักผลไม้เท่านั้น โดยเฉพาะ ส้มคั้น หรือกล้วยน้ำว้าสักลูกหรือสองลูก ในกล้วยน้ำว้า มีกรดอะมิโนสูงมาก ช่วยทำให้หลับสบาย แล้วพวกทำงานกลางคืนนอนผิดธรรมชาติ กลางคืนไม่นอน ไปนอนกลางวัน พวกนี้อายุสั้น เพราะโกรทฮอร์โมนจะหลั่งมากที่สุดเฉพาะกลางคืนเท่านั้น
คุณหมอลองยกตัวอย่างคนไข้ที่คุณหมอรักษาหาย มีคนแก่คนหนึ่ง ชื่อลุงจันตาว ตอนนี้อายุอาจจะถึง ๑๐๐ แล้วมั้ง ตอนไปหาผมประมาณ ๙๖ ปี ตอนที่มาหาผมเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย ออกจากโรงพยาบาลที่สกลนคร รู้สึกจะเป็นมะเร็งที่ลำไส้ และกระเพาะปัสสาวะด้วย เป็นเบาหวานหรือความดันด้วย ถ้าจำไม่ผิด รักษาอยู่สองสามปีได้ ผมก็ไม่นึกว่าจะรอด แต่โชคดีที่ว่าคนไข้คนนี้ อายุมากแล้ว หูก็ไม่ค่อยได้ยิน เรื่องเครียดก็เลยไม่ค่อยมี ทุกวันไม่กล้าบอกว่าเป็นมะเร็งกลัวจะรับไม่ได้ ผมก็รักษา ตอนนี้เขาก็อยู่เหมือนคนปรกติ เราไม่ได้สนใจ ว่าหายหรือเปล่า ไม่ต้องดูเราอย่าไปเครียดตรงนั้น ถ้าเราจับแกไปตรวจ แกจะเครียด หรือไม่คนมีอายุ ต้องไปโรงพยาบาล ไปเอ็กซเรย์ มีอีกคนหนึ่ง บ้านอยู่ละแวกเดียวกัน คนนี้แต่ก่อนมีอาชีพค้าสัตว์ฆ่าวัว ขายเนื้อในตลาด เป็นมะเร็งที่สมอง ทุรนทุรายมาก ทุกวันนี้เหมือนคนปรกติเลย แต่ผมก็ไม่ให้เครียด บอกไม่ต้องไปตรวจอาการแล้ว ถ้าไปตรวจแล้วหมอบอกว่า ยังมีอันนั้นผิดปรกติ คนไข้ถ้าเครียด คิดมากปั๊บ โรคมาทันทีเลย อีกรายเป็นนายพลเป็นโรคหัวใจ ความดัน สมองเลอะเลือนหมด มาให้ผมรักษา ตอนนี้สบาย เดินหัวเราะ ร้องเพลง เพราะแต่ก่อนยิ้มไม่ค่อยเป็น เพราะเป็นทหาร ชอบวางมาดเข้ม เดี๋ยวคนไม่เกรงกลัว แต่พวกนี้มะเร็งชอบนักหนา โรคหัวใจชอบ วิธีการรักษาของคุณหมอ
เวลาคนไข้อาการหนักมา เริ่มต้นยังไง ผมจะต้องอธิบายก่อนว่า คนเราเจ็บไข้ เพราะอะไร เราพูดให้คนไข้เกิดความเชื่อมั่น ศรัทธา แล้วเกิดความปิติ เหมือนเราเชื่อมั่นในพระสงฆ์องค์นี้ นับถือผู้หลักผู้ใหญ่คนนี้ พอเราได้ไปกราบไหว้ไปใกล้ชิดแล้วเรารู้สึกอบอุ่น มีความสุข พอมีความสุข ความปิติเกิด เอ็นโดฟินหลั่ง ทำให้มองโลกในแง่บวก โกรทฮอร์โมนหลั่ง ถ้าคุณจะรักษาเหมือนในโรงพยาบาล โดยที่ไม่มีกำลังใจไม่มีประโยชน์เลย สำคัญที่สุดคือจิต ลองนึกดู คนที่ไม่เครียดอย่างคนบ้า เป็นโรคอะไรหรือไม่ คนที่มีอยู่กินทุกอย่าง ทำไมเกิดโรค เพราะอะไร เขามีครบทุกอย่าง ยุงก็ไม่กัด อากาศก็กรอง อาหารก็สะอาดอย่างดี แต่ทำไมเกิดโรค
ทำไมคนไม่มีอะไรจะกิน กินสกปรกตามถังขยะ หลับนอนยุงกัด แต่ไม่เกิดโรค เพราะอะไรจับจุดตรงนี้ได้มั้ย เพราะไม่เครียด ผมใช้เวลาอยู่ตั้งหลายปี กว่าจะหาคำตอบตรงนี้ได้ ทำไมหลายคนที่ใช้วิธีบำบัดธรรมชาติจึงเสียชีวิต เพราะจิตสำคัญที่สุด คนจะหายจากโรคมะเร็งเราดูหน้ารู้เลย ยิ้มแย้มแจ่มใส หัวเราะ ก็มีโอกาสหาย แต่ถ้าหน้าหงิก ยิ้มไม่เป็น ก็เรียบร้อย เอายาทั้งโลก หมอทั้งจักรวาลมารักษาก็ไม่มีทาง มันอยู่ที่ตัวเอง การที่จะทำให้สุขภาพดีหายจากโรคก็ต้องทำตามคำแนะนำของหมอทั้งหมด
คนไข้ที่มาหาหมอ... หมอช่วยได้ครึ่งหนึ่ง คือให้พวกเกลือแร่ วิตามิน พวกเอนไซม์ พวกอาหารเสริมทั้งหลาย ที่เหลือคนไข้ปฏิบัติเองหมดว่าทำได้หรือเปล่า หมอเป็นเพียงเทรนเนอร์ มุมข้างนั้นมะเร็งขึ้นเวทีแล้ว อาจจะเป็นมุมแดง หรือน้ำเงิน อีกข้างหนึ่ง คนไข้ต้องขึ้นแล้ว หมอบอกว่า ต้องฟุตเวิร์ค ต้องหมัดแย็บก่อนนะ หมัดนี่ตามนะ ถ้ามาแล้วต้องกันอย่างนี้นะ ลูกเมียเป็นกองเชียร์ก็เชียร์ ปรากฏว่าไอ้พ่อไม่ขึ้นเวที ไม่สู้บอกให้ทำอะไร ก็ไม่ทำ เขาจับแพ้ตั้งแต่ยังไม่ขึ้นเวที มันอยู่ที่คนไข้หมดแต่เวลาคนไข้มาหาหมอ จะให้หมอช่วยทุกอย่างช่วยไม่ได้ เพราะพลังบำบัดมันเกิดขึ้นจากตัวคนไข้เอง คนอื่นช่วยไม่ได้ถ้าคนไข้ไม่ช่วยตัวเอง
ทำไมคนเป็นมะเร็งที่รักษาด้วยวิธีธรรมชาติแนวอื่นหลายรายไม่ประสบความสำเร็จ ผมไม่ทราบ แต่แนวทางปฏิบัติของผม นำมาจากประสบการณ์จริงที่เกิดขึ้นกับผมซึ่งอาจแตกต่างกัน ยกตัวอย่าง เรื่องอาหารโปรตีนของคนอื่นอาจจะให้กินเนื้อปลา หรือถั่วเหลืองมาก ๆ แต่ของผมงดโปรตีนเลย เพราะเราต้องถนอมตับ ถ้ากินโปรตีนเข้าไปมาก เกิดแอมโมเนีย ทำให้ตับเราทำงานหนักขึ้น และเมื่อตับทำงานหนัก ก็ส่งผลให้ระบบภูมิต้านกินพังหมด ประการต่อมา เขาได้พูดเรื่องจิตหรือไม่ได้พูด เรื่องเอาพิษออกจากร่างกายที่ละเอียดหรือไม่ เขาบอกคนไข้เรื่องอาหารที่ช่วยตับ อาหารที่ช่วยเอาพิษออกจากร่างกาย อาหารที่บำรุงตับ บอกละเอียดหรือไม่ แสงอาทิตย์ที่ให้วิตามินดีแก่ร่างกายได้หรือไม่ ออกกำลังกายแบบไหน ที่ทำให้โกรทฮอร์โมนหลั่ง เอ็นโดฟินหลั่ง และสำคัญคือรักษาคนไข้แล้วทำให้คนไข้เครียดหรือไม่ คุณหมอมองการรักษามะเร็งในปัจจุบันอย่างไร
สาเหตุสำคัญที่เกิด มะเร็งเพราะเม็ดเลือดขาว หรือภูมิต้านทานเราไม่แข็งแรง แต่หมอปัจจุบันไม่ได้แก้ที่ต้นเหตุ เห็นว่าเป็นมะเร็งตรงไหน ก็ตัดเนื้อร้ายตรงนั้นพวกฉายแสงก็ฉายแสงลูกเดียว คุณหมอออกมารักษามะเร็งแบบนี้ ถูกโจมตีจากแพทย์แผนปัจจุบันบ้างหรือไม่ เป็นเรื่องธรรมดาครับ มีหมอหลายคนโจมตี ผมบอกว่าเอาอย่างนี้อยากจะดูคุณภาพของร่างกาย คุณขับรถไปกับผม คนละคันไหม ผมอายุ ๗๕ ปี ยังสามารถขับรถจากนครพนม ไปปากพนัง ระยะทาง ๑,๖๐๐ กิโลเมตรรวดเดียว หยุดพักแค่เติมน้ำมัน หรือหยุดทำดีทอกซ์แค่นั้น ๒๐ กว่าชั่วโมงไม่พัก คุณทำได้มั้ย หรือคุณสามารถยืนบรรยายหน้าห้องติดต่อกันได้ถึง ๑๘ ชั่วโมงมั้ย
คนไข้ของคุณหมอส่วนใหญ่หายหรือไม่ จริง ๆ ต้องใช้เวลาอย่างน้อย ๘ อาทิตย์ ในการรักษาถึงจะรู้ว่ามันได้ผล คนที่หายคือคนที่ปฏิบัติจริง ๆ ปฏิบัติเรื่องจิตได้จริง ๆ บางคนนึกว่าจะตายแล้ว มันกลับหาย บางคนไม่หนักกลับทรุด คนไข้บางคนมาฟังผมบรรยายแนวทางปฏิบัติตัว ตอนแรกต้องนอนให้ออกซิเจนมา บางคนมาจากต่างประเทศ พอได้ฟังคำบรรยายส่วนมาก ตั้งแต่วันที่สองหรือสามไปแล้ว จะถอดออกซิเจนได้แล้ว นั่งไม่เจ็บปวดเพราะเรื่องจิตเชื่อมั่นศรัทธา เปลี่ยนความคิดมาเป็นเชิงบวก แต่คนไข้ส่วนมากจะปฏิบัติตามช่วงสี่ห้าวัน ตอนอยู่ฟังคำบรรยายกับผม พอกลับไปบ้าน สิ่งแวดล้อมเปลี่ยนไป คนนั้นมาเยี่ยม คนนี้มาเยี่ยมบอกว่าเอ้อ กินอาหารแต่พืชผักผลไม้จะเอาแรงมาจากไหน คนป่วยไม่ใช่วัวควายจะกินอย่างนี้ได้ยังไง คนไข้เริ่มลังเลแล้วความเครียดเกิดขึ้น คนไข้ก็เริ่มเจ็บ ไปหาหมอ หมอก็ให้คีโม หรือยาระงับปวดไม่ต้องเจ็บ คนไข้นึกว่ามันจะหาย แต่มันไม่หาย แค่ระงับปวดชั่วคราวเฉย ๆ
โดยสรุปแล้วหลักการรักษามะเร็ง หรือทำให้สุขภาพของคนเราดีขึ้นมี ๗ อย่างด้วยกัน ผมเรียกว่า ๗ อ. คือ
๑ อาหาร กินอาหารให้ถูกต้อง
๒ อากาศพยายามสูดอากาศที่บริสุทธิ์ และฝึกการทำความสะอาดปอด
๓ อารมณ์ไม่เครียด แจ่มใสเสมอ
๔ ออกกำลังกายแบบแอโรบิก โดยเฉพาะการเดินเร็ว ๆ ในตอนเช้า หรือเย็นเพื่อให้ได้รับแดดอ่อน ๆ
๕ อุจจาระหรือการทำดีท็อกซ์ขับสารพิษ ออกจากร่างกาย
๖ เอนกายหรือพักผ่อนให้เพียงพอ และ
๗ คืออิทธิบาท คือเราต้องมี ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา
ความตั้งใจในอนาคตของคุณหมอคือ อยากจะสร้างโรงพยาบาลสักแห่งใช่ไหมครับ ลูกชายคนไข้คนหนึ่งที่ผมรักษาหาย มอบที่ดินให้ผม ๓๐๐ กว่าไร่ ที่อำเภอน้ำโสม จังหวัดอุดรธานี ผมตั้งใจว่าจะสร้างโรงพยาบาล เพื่อรักษาคนไทยเราฟรี มนุษย์เรากับธรรมชาติมันแยกกันไม่ออก ทุกวันเราพยายามหนีธรรมชาติ เราจึงเจ็บไข้ได้ป่วย ผมมีความคิดอยากสร้างโรงพยาบาลที่แวดล้อมด้วยป่าธรรมชาติ ผมอยากสร้างโรงพยาบาล ให้ทุกคนบนโลก เป็นโรงพยาบาลที่รักษาแบบธรรมชาติ ทำยังไงไม่ให้คนเกิดโรค ถ้าเกิดโรคแล้วทำยังไง จึงจะใช้ธรรมชาติรักษา โดยไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม ต้นไม้ทุกอย่างที่ปลูกจะเป็นประโยชน์ โดยเฉพาะเราเอาอาหารก่อน และเราต้องมีรายได้ ที่จะเลี้ยงตัวเอง คือไม้กฤษณา และพืชผักผลไม้ทุกอย่างในโลก เราจะเอามาปลูกให้หมด เราสามารถหากินได้ในนั้น ที่ราบเราก็จะทำนา ปลูกผักกิน พวกหมออาสาสมัครที่จะมาช่วยผม ก็ปฏิญาณตนกันแล้วทุกคน ว่าจะไม่เอาเงินเดือน แล้ววันหนึ่งเราจะกินอาหารไม่เกินสองครั้งเป็นอย่างมาก เราจะกินอาหารอย่างธรรมชาติ กินมากก็ไม่ได้เพราะกินมาก อายุสั้นเพราะที่นี่อยากเป็นตัวอย่างของคนที่ต้องการอายุยืนและมีความสุข
ตอนนี้ก็มีคนสมัครเยอะ ทั้งหมอ พยาบาล ประชาชนทุกคนที่มีความรู้ มีแรงกายแรงใจ ก็ไปช่วยกัน รัฐเพียงสนับสนุนขอที่ตรงนั้นอย่าให้ชาวบ้านบุกรุกได้หรือไม่ ตอนนี้มีพวกนายทุนกำลังให้ชาวบ้านไปทำลายอยู่ ตอนนี้บนยอดเขาหมดเลย ถ้าเรามีโอกาส เราต้องช่วยคนทั้งโลก และทุกสิ่งทุกอย่างที่มีชีวิตในโลกนี้ ไม่ให้มีการเบียดเบียนกันเหมือนทุกวันนี้ สิ่งที่มีชีวิตที่โหดเหี้ยมที่สุด ไม่ใช่สัตว์ เป็นคนด้วยกันเองที่ทำลายธรรมชาติยังไม่พอ ยังมาทำลายตัวเอง
ทำไมจึงกินเฉพาะข้าวกล้องกับใบบัวบกครับ
เพราะแถวนั้นไม่มีอะไรจะกิน เราอยู่คนเดียวในป่า ผมอ่านหนังสือเจอว่า คนอายุยืนที่สุดในโลก เป็นคนจีนชื่อศาสตราจารย์ลียุนชุง เกิดปี ค.ศ. ๑๖๗๗ ตายเมื่อปี ค.ศ. ๑๙๓๓ เขากินมังสวิรัติ ที่กินอยู่เป็นประจำคือ โสมจีน และใบบัวบก ตอนอายุ ๒๐๐ ปียังไป บรรยายที่มหาวิทยาลัยซินเกียง ๒๘ ครั้ง ท่านเสียชีวิตตอนอายุ ๒๕๖ ปี หน้าตาท่าทางเหมือนกับคนอายุ ๕๐ ปีแค่นั้น ท่านบอกว่าเป็นเพราะอาหารและความไม่เครียด ตามจริง ถ้าจะรักษามะเร็ง จะกินแค่นี้ไม่ได้ ต้องกินวิตามินจำนวนมากช่วยด้วย แต่ว่าจิตเราได้สู้ เราต้องอยู่เพื่อแม่นะ จิตเราต้องสู้นะ วันนี้เดิน ๑๐ ก้าว พรุ่งนี้ต้องเดิน ๑๕ก้าวให้ได้ มะรืนนี้ต้อง ๒๐ ก้าวให้ได้เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ฝึกหายใจนะ อยากจะมีชีวิตอยู่ อยากจะหาย แต่ก่อนมีความคิดว่า ตายเมื่อไหร่ก็ช่างมัน ทรมานเหลือเกิน ไม่รู้อยู่ทำไม มีแต่สิ่งไม่ดีในโลกนี้ เบื่อหน่ายเหลือเกิน คือ มองไปทางไหนก็เป็นลบหมด เดี๋ยวนี้มองอะไรเห็นเป็นสีชมพู สีเขียว สดชื่นไปหมด คนด่าก็ยิ้มมีความสุข ฉะนั้นทุกวันนี้ ผมมองโลกในแง่บวก มะเร็งทำให้เราคิดว่า การสู้กับมะเร็ง ใครชนะมะเร็งได้ เหมือนคนนั้นตรัสรู้แล้ว พออาการมะเร็งเริ่มดีขึ้น ๆ รู้ทันทีว่าทำไมจิตใจเราเห็นอะไรดีไปหมด ผมไปสะดุด มีดสะดุดพร้า เท้าแหกเลย เรายังขอบคุณมันที่ช่วยเตือนสติว่าจะเดินไปไหน ต้องระมัดระวังทุกย่างก้าว ทีหลังอย่าซุ่มซ่ามแบบนั้น คิดเสียว่าเป็นมะเร็งก็ดีนะ ถ้าไม่เป็นมะเร็ง เราคงเป็นคนเหี้ยมโหดเหมือนเก่า คุณหมอ รักษาตัวอยู่ ๓ เดือนหายเลย อาหารเราต้องงดเนื้อสัตว์เด็ดขาดเลย อาหารปรุงแต่ง เนื้อปลาก็ไม่กิน ในช่วงนั้นเราต้องถนอมตับที่สุด เพราะตับเป็นอวัยวะที่เป็นฐานทัพใหญ่ ถ้าตับเราไม่ดีเสร็จเลย ร่างกายจะฟื้นไม่ได้ ตับสำคัญที่สุด วิธีถนอมตับคือ อย่ากินมาก อย่าสะสมพิษให้ตับทำงานหนักอย่าท้องผูก ไม่กินอาหารโปรตีนเข้าไปเยอะ ๆ ตับก็ทำงานหนัก เมื่อตับเราดีมันสามารถช่วยอย่างอื่นหมด ไตก็พลอยได้ประโยชน์ด้วย เดี๋ยวนี้หน้าตาเราสดใสเมื่อก่อนหน้าตาเราโทรม
ที่มา : Forward Mail
..................................................................................
วันพฤหัสบดีที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2551
50 โรคของหัวหน้างานที่รักษาไม่หาย
หากเจ้านายใครเป็น 1 ในหลายเหล่านี้ ลูกน้องก็พึงระวังให้ดีนะค่ะ และหากมีใครพอจะมีทางรักษาหรือป้องกันโรคของหัวหน้างานไม่ให้กำเริบได้ในขณะทำงาน ก็ลองนำมาแบ่งปันกันได้ค่ะ เพื่อจะได้มีชีวิตที่รุ่งโรจน์กะเขาสักที.... ลองมาดูกันค่ะว่า 50 โรคที่ว่านี้มีอะไรบ้าง...
โรคที่ 1 : โรคทำงานไร้เป้าหมาย
โรคที่ 2 : โรคสั่งงานแบบไร้สติ
โรคที่ 3 : โรคทองไม่รู้ร้อน
โรคที่ 4 : โรคชอบให้ทุกคนมีนิสัย (ประหลาด) เหมือนตัวเอง
โรคที่ 5 : โรคชอบพูดว่า ประตูห้องของผมเปิดกว้างรับฟังความคิดเห็นเสมอ (แต่.. ผมไม่เคยเปิดประตูเลย)
โรคที่ 6 : โรคชีวิตนี้ (ตู) มีแต่งาน งาน งาน
โรคที่ 7 : โรคเพื่อนเราชอบเผาเรือน
โรคที่ 8 : โรคชอบใช้ศัพท์หรูๆ
โรคที่ 9 : โรคทำตัวไร้ตัวตน
โรคที่ 10 : โรคผู้บังคับบัญชานาซี
โรคที่ 11 : โรคไม่มีปัญหาครับท่าน
โรคที่ 12 : โรคเสมือนจริงใจ
โรคที่ 13 : โรครู้ไปหมดซะทุกเรื่อง
โรคที่ 14 : โรคทำงาน (ลึก) ลับอะไรไม่รู้
โรคที่ 15 : โรค 'เลื่อนขั้นเหรอ' ชาติหน้าบ่าย ๆ
โรคที่ 16 : โรคตัดสินใจ ทำไมยากจัง!
โรคที่ 17 : โรคแค้นฝังหุ่น
โรคที่ 18 : โรคหวงก้างไว้ทำเกลือหรือไง?
โรคที่ 19 : โรคคลั่งไคล้การประชุม (บ้าหรือปล่าว?)
โรคที่ 20 : โรคมีลูกน้องเหมือนจะฉลาด
โรคที่ 21 : โรคชอบชมลูกน้องจัง! (แต่ลับหลังคนอื่นฮ่ะ!)
โรคที่ 22 : โรคดีเป็นของตัว ชั่วเป็นของคนอื่น (ลูกน้อง!)
โรคที่ 23 : โรคชอบแทงข้างหลังคนอื่น (น่ากลัวจังเลยฮ่ะ!)
โรคที่ 24 : โรคจุ้นจ้านไปหมดทุกเรื่อง (คุณเป็นแม่หรือเป็นเจ้านายกันแน่?)
โรคที่ 25 : โรคชอบเล่าเรื่องโจ๊ก (แต่มันไม่ค่อยตลกเลย..เจ้านาย!)
โรคที่ 26 : โรคเดี่ยวไมโครโฟน (บ้าน้ำลายจริงๆ จ๊ะ!)
โรคที่ 27 : โรคฉันชอบประชุมตอนเช้า ใครจะทำไม?
โรคที่ 28 : โรคไม่ชอบประชุมเอาซะเลยกับเจ้านาย)
โรคที่ 29 : โรคเก่งคนเดียว คิดคนเดียว (แต่ตอนลงมือทำ ลูกน้องเพียบ!)
โรคที่ 30 : โรคลูกน้องทะเลาะกันเหรอ? ฉันไม่สนใจหรอกย่ะ
โรคที่ 31 : โรคมีลูกน้องที่คิดว่า ตัวเองเป็น Superman
โรคที่ 32 : โรคข้าพเจ้าถูกแต่เพียงผู้เดียว
โรคที่ 33 : โรคชอบมีไอเดียใหม่ หลังลูกน้องทำงานเสร็จ
โรคที่ 34 : โรคแอนตี้คอมพิวเตอร์
โรคที่ 35 : โรคลดขนาดองค์การเหรอ? อืม ตัวใครตัวมัน
โรคที่ 36 : โรคพนักงานชั่วคราวเหรอ เมินซะเถอะ!
โรคที่ 37 : โรคไม่เคยติดตามการทำงานของลูกน้อง
โรคที่ 38 : โรคเตรียมพร้อมแปลว่าอะไร (ไม่รู้จักจริงๆ น่ะ!)
โรคที่ 39 : โรคจมกองเอกสารแต่งานไม่คืบหน้าไปไหน
โรคที่ 40 : โรค 'เงิน' เท่านั้นคือการตอบแทน (ชอบกะตังส์ ฮิฮิ)
โรคที่ 41 : โรค 'คุณภาพ' เหรอ? อืม! แปลว่าอะไรล่ะ
โรคที่ 42 : โรคจำลูกน้องคนโปรดได้คนเดียว!
โรคที่ 43 : โรคประเมินผลงานด้วยวิธีที่ฉลาดน้อยที่สุด
โรคที่ 44 : โรคชอบสะสม 'ระเบิดเวลา'
โรคที่ 45 : โรคไว้ใจลูกน้องไม่เคยสำเร็จ
โรคที่ 46 : โรคปฏิเสธใครไม่เป็น (คนดีจริงๆ ฮ่ะ!)
โรคที่ 47 : โรคปกครองระบบทาส
โรคที่ 48 : โรคยิ่งเครียดยิ่งผิดพลาด
โรคที่ 49 : โรคมนุษย์ผู้สมบูรณ์แบบ (ตลอดกาล!)
โรคที่ 50 : โรคมนุษย์เจ้าปัญหา
ที่มา : Forward mail
วันจันทร์ที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2551
9 เทคนิค ฝึกสมองไบรท์
ผู้หญิงสมัยนี้ อยากสวย ฉลาด และสุขภาพดี ทุกคนจึงพากันดูแลรูปร่าง ด้วยการออกกำลังกาย เคร่งครัด เรื่องอาหารการกิน แต่ไม่เคยมีใครสนใจว่าจะดูแลสมองอย่างไรให้มีสุขภาพดี ทั้งที่สมอง เป็นอวัยวะที่ตัดสินใจทุกเรื่องของชีวิต เราจึงควรเอกเซอร์ไซส์สมองให้ไบรท์ด้วยเทคนิคง่าย ๆ ต่อไปนี้
1. จิบน้ำบ่อย ๆ (Drink water very often) สมองประกอบด้วยน้ำ 85 % เชลล์สมองก็เหมือนต้นไม้ที่ต้องการน้ำหล่อเลี้ยง ถ้าไม่มีน้ำ ต้นไม้ก็เหี่ยว ถ้าไม่อยากให้เชลล์สมองเหี่ยว ซึ่งส่ง ผลให้การส่งข้อมูลช้า กลายเป็นคนคิดช้าหรือคิดไม่ค่อยออก แต่ละวันจึงควรดื่มน้ำบ่อย ๆ
2. กินไขมันดี (Enjoy good Omega 3) คนไม่ค่อยรู้ว่าสมองคือก้อนไขมัน ซึ่งจำเป็นต้องมีไขมันดีไปทดแทนส่วนที่สึกหรอ แนะนำให้กินไขมันดีระหว่างวัน จำพวกน้ำมันปลา สารสกัดใบแปะก๊วยปลาที่มีไขมันดีอย่าง ปลาแซลมอน นมถั่วเหลือง วิตามินรวม น้ำมันพริมโรสเป็นน้ำมันดี ที่ทำให้เชลล์ชุ่มน้ำ ส่วนวิตามินซีกินแล้วสดชื่น
3. นั่งสมาธิวันละ 12 นาที (Meditation 12 min a day) หลังจากตื่นนอนแล้ว ให้ตั้งสติและนั่งสมาธิทุกเช้า วันละ 12 นาที เพื่อให้สมองเข้าสู่ช่วงที่มีคลื่น Theta ซึ่งเป็นคลื่นที่ผ่อนคลายสุดๆ ทำให้สมองมี Mental Imagery สามารถจินตนาการเห็นภาพและมีความคิดสร้างสรรค์ ( ถ้าทำไม่ ได้ตอนเช้า ) ให้หัดทำก่อนนอนทุกวัน
4. ใส่ความตั้งใจ (Program the brain: have specific intention) การตั้งใจในสิ่งใดก็ตาม เหมือนการโปรแกรมสมองว่านี่คือสิ่งที่ต้องเกิด ระหว่างวันสมองจะปรับพฤติกรรมเราให้ไปสู่เป้าหมายนั้น ทำให้ประสบความสำเร็จในสิ่งต่าง ๆ เพราะสมองไม่แยกระหว่างสิ่งที่ทำจริงกับสิ่งที่คิด ขึ้น ทั้งสองอย่างจึงเป็นเสมือนสิ่งเดียวกัน
5. หัวเราะและยิ้มบ่อย ๆ (Laugh and Smile) ทุกครั้งที่ยิ้มหรือหัวเราะ จะมีสารเอ็นโดรฟินซึ่งเป็นสารแห่งความสุข หลั่งออกมาเท่ากับเป็นการกระตุ้น ให้มีความอยากรักและหวังดีต่อคนอื่นไปเรื่อยๆ
6. เรียนรู้สิ่งใหม่ทุกวัน (Learn new thing everyday) สิ่งใหม่ในที่นี้หมายถึง สิ่งต่าง ๆที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน เช่น กินอาหารร้านใหม่ ๆ รู้จักเพื่อนใหม่ อ่านหนังสือเล่มใหม่ คุยกับเพื่อนร่วมงานและเรียนรู้วิธีการทำงานของเขา เป็นต้น เพราะการเรียนรู้สิ่งใหม่ทำให้สมองหลั่งสารเอ็น โดรฟิน และโดปามีน ซึ่งเป็นสารแห่งการเรียนรู้ กระตุ้นให้อยากเรียนรู้และ สร้างสรรค์ ไปเรื่อยๆเมื่อมีความสุขก็ทำให้มีความคิดสร้างสรรค์
7. ให้อภัยตัวเองทุกวัน (Forgive yourself, reduce brain stress) ขณะที่การไม่ให้อภัยตัวเอง โกรธคนอื่น โกรธตัวเอง ทำให้เปลืองพลังงานสมอง การให้อภัยตัวเอง เป็นการลดภาระของสมอง
8. เขียนบันทึก Graceful Journal (Write graceful journal, good things inlife every day) ฝึกเขียนขอบคุณสิ่งดี ๆ ที่เกิดขึ้นแต่ละวันลงในสมุดบันทึก เช่น ขอบคุณที่มีครอบครัวที่ดี ขอบคุณที่มีสุขภาพที่ดี ขอบคุณที่มีอาชีพที่ทำให้มีความสุข เป็นต้น เพราะการเขียนเรื่องดี ๆ ทำให้สมองคิดเชิงบวก พร้อมกับหลั่งสารเคมีที่ดีออกมา ช่วยให้หลับฝันดี ตื่นมาทำสมาธิได้ง่าย มีความคิดสร้างสรรค์
9. ฝึกหายใจลึก ๆ (Deep breath) สมองใช้ออกชิเจน 20 25 % ของออกชิเจนที่เข้าสู่ร่างกาย การฝึกหายใจเข้าลึก ๆ จึงเป็นการส่งพลังงานที่ดีไปยังสมอง ควรนั่งหลังตรงเพื่อให้ออกชิเจนเข้าสู่ร่างกายได้มากขึ้น ถ้านั่งทำงานนาน ๆ อาจหาเวลายืนหรือเดินยึดเส้นยืดสายเพื่อให้ปอดขยาย ใหญ่ สามารถหายใจเอาออกชิเจนเข้าปอดได้เพิ่มขึ้นอีก 20 %การมีสมองที่ดีก็เหมือนทักษะทุกอย่างในโลกที่เรียนรู้ได้ แต่จะเก่งหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับการฝึกฝน ถ้าเราดูแลและฝึกฝนสมองให้ดี คุณภาพชีวิตก็จะดีตาม
ที่มา : http://www.oknation.net/blog/matchmaker/2008/07/07/entry-2